7-10210-010-073


7          คือ รหัสกิจกรรมสร้างจิตสำนึก

10210  คือ รหัสไปรษณีย์ประจำท้องถิ่นของโรงเรียน

010      คือ รหัสสมาชิกสวนพฤกศาสตร์ของโรงเรียนแต่ละท้องที่ดดยแบ่งตามรหัสไปรษณีย์

073      คือ รหัสหมายเลขการขึ้นทะเบียนพรรณไม้โรงเรียน ลำดับที่73 ชื่อ หางนกยูงฝรั่ง


หางนกยูงฝรั่ง




ชื่อสมุนไพร  หางนกยูงฝรั่ง


ชื่ออื่นๆ  หางนกยูงฝรั่ง (อังกฤษ: Flam-boyant, The Flame Tree, Royal Poinciana) หรือที่เรียกว่า นกยูง, นกยูงฝรั่ง, ชมพอหลวง, ส้มพอหลวง (ภาคเหนือ), หงอนยูง (ภาคใต้), อินทรี 
(ภาคกลาง),และ ยูงทอง

ชื่อ
วิทยาศาสตร์  Delonix regia (Bojer Ex Hook.) Rafin.

ชื่อวงศ์            LEGUMINOSAE- CAESALPINIOIDEAE    


ลักษณะของ หางนกยูงฝรั่ง

ใบ ประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบย่อยขนาดเล็ก จํานวนมาก โคนใบเบี้ยว ปลายใบมน แกนช่อใบ ยาว ประมาณ 50-60 ซม. แกนแขนงมี 9-24 คู่ ใบรูป ขอบขนาน กว้างประมาณ 3-4 x 8-10 มม. 


ดอก สีเหลือง – แดง ออกเป็นช่อที่ปลายกิ่งหรือซอก ใบใกล้ปลายกิ่ง ช่อดอกยาวประมาณ 10-15 ซม. มี 5-10 ดอก ดอกย่อยขนาด 5-8 ซม. กลีบรองดอก 5 กลีบ ด้านในสีแดง กลีบดอก 5 กลีบ รูปช้อนขนาด ไม่เท่ากัน เกสรผู้ 10 อัน 



ผล เป็นฝักใหญ่ แบน เปลือกแข็ง ขนาดประมาณ 3-5 x 30-60 ซม. ฝักแก่มีสีน้ําตาลดํา แตกทั้งสองข้าง เมล็ดเรียงตามขวาง มี 20-40 เมล็ด 





ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ผลัดใบ ความสูง 10-15 เมตร ทรงพุ่มรูปร่ม
- ลำต้นเกลี้ยง เปลือกต้นเรียบสีน้ำตาลอ่อนถึงสีน้ำตาลเข้ม โคนต้นเป็นพูพอน มักมีรากโผล่พ้นดินออกโดยรอบเมื่อโตเต็มที่ ระบบรากแข็งแรง
- ใบประกอบแบบขนนกสองชั้นปลายคู่ เรียงสลับ ใบย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก
- ดอกเป็นช่อเชิงหลั่นขนาดใหญ่ ออกที่ปลายกิ่งหรือกิ่งข้าง กลีบดอก 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน มีหลายสีคือ สีแดงอมส้ม ส้ม เหลือง ออกดอกเดือนเมษายน-มิถุนายน
- ผลเป็นฝักแห้ง แตกเป็น 2 ซีก กว้าง 5-6 เซนติเมตร ยาว 40-60 เซนติเมตร เปลือกแข็ง ฝักแก่สีน้ำตาลเข้มเกือบดำและแตกออก

ออกดอกออกผล 
ออกดอกช่วง เมษายน –มิถุนายน ออกผล กรกฎาคม-ตุลาคม 

นิเวศวิทยา เป็นพันธุ์ไม้ของเกาะมาดากัสการ์ และแอฟริกา นิยมนํามา ปลูกทั่วไปในเขตร้อนทั่วโลก เช่น อินเดีย พม่า มาเลเซีย และไทย 

สรรพคุณหางนกยูงฝรั่ง 
- รากช่วยแก้อาการบวมต่างๆ และใช้เป็นยาขับโลหิตสตรี 
- ลำต้นนำมาฝนใช้ทาแก้พิษ ถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ 

ประโยชน์หางนกยูงฝรั่ง
เนื่องจากหางนกยูงฝรั่งเป็นต้นไม้ที่ปลูกได้ง่าย และทนทานต่อสภาพอากาศแห้งแล้ง สีของดอกดูสวยสดใส ทรงพุ่มก็สวยงาม จึงนิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่ราชการ รวมไปถึงสวนสาธารณะและตามขอบถนนหนทาง
อีกทั้งเมล็ดสามารถนำมาใช้ทำเป็นขนมหวาน ด้วยวิธีต้มกับน้ำตาล ราดด้วยกะทิ และเมล็ดอ่อนก็ยังนำมารับประทานสดได้





ที่มาของข้อมูล





 





การนำเสนอพรรณไม้จากสวนพฤษศาสตร์โรงเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2566
0 Comments

 History of guita





                                กีตาร์ (Guitar) เป็นเครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง จัดเป็นพวกเครื่องสาย มักจะเล่นด้วยนิ้วมือซ้าย และดีดด้วยนิ้วมือขวาหรือใช้ปิ๊กดีดกีตาร์เสียงของกีตาร์นั้นเกิดจากการสั่นสะเทือนของสายทำให้เกิดกำทอน (resonance) แก่ตัวกีตาร์และคอกีตาร์

   กีตาร์นั้น มีทั้งแบบกีตาร์อะคูสติก และกีตาร์ไฟฟ้า บางตัวก็เป็นได้ทั้งสองอย่าง กีตาร์มีส่วนตัวเป็นกล่องกำทอน ซึ่งในกีตาร์อะคูสติกจะเจาะเป็นช่อง ส่วนกีตาร์ไฟฟ้ามักจะตัน และมีโพรงในส่วนคอกีตาร์ โดยทั่วไปแล้วส่วนหัวของกีตาร์จะยืดขึ้นไปจากคอ เพื่อใส่ลูกบิดหมุนสายสำหรับปรับเสียง

   กีตาร์เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้แพร่หลายและใช้กับดนตรีหลากหลายสไตล์ นับเป็นเครื่องดนตรีที่นิยมใช้บรรเลงเดี่ยวอย่างกว้างขวางที่พบเห็นมากที่สุดคือกีตาร์คลาสสิก และยังเป็นเครื่องดนตรีหลักในวงดนตรีประเภทบลูส์ และดนตรีร็อกอีกด้วย กีตาร์สามารถเล่นในยามว่าง หรือ เป็นงานอดิเรก ได้ดีปกติกีตาร์จะมี 6 สาย แต่แบบ 4- 7- 8- 10- 12- สายก็มีเช่นกัน


ความเป็นมา

   เครื่องดนตรีที่มีลักษณะคล้ายกีตาร์เป็นที่นิยมมากว่า 5,000 ปีเป็นอย่างต่ำ โดยเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเอเชียกลาง เรียกว่าซิตาร่า (Sitara) เครื่องดนตรีที่มีรูปแบบคล้ายคลึงกีตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบมีอายุ 3,300 ปี เป็นหินสลักของกวีอาณาจักรโบราณฮิตไตต์

   คำว่ากีตาร์มาจากภาษาสเปนคำว่า guitarra ซึ่งมาจากภาษากรีกอีกทีคือคำว่า Kithara kithara จากหลายแหล่งที่มาทำให้คำว่ากีตาร์น่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาตระกูลอินโดยูโรเปียน guit- คล้ายกับภาษาสันสกฤต ที่แปลว่า ดนตรี และ -tar หมายถึง คอร์ด หรือ สาย คำว่า qitara เป็นภาษาอาราบิก ใช้เรียก Lute lute ส่วนคำว่า guitarra เกิดขึ้นเมื่อเครื่องดนตรีชนิดนี้ถูกนำมาที่ Iberia (หรือ Iberian Peninsular เป็นคาบสมุทรทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ในทวีปยุโรป) โดย Moors

   กีตาร์ในยุคปัจจุบัน มาจากเครื่องดนตรีที่เรียกว่า cithara ของชาวโรมัน ซึ่งนำเข้าไปแพร่หลายในอาณาจักรฮิสปาเนีย หรือสเปนโบราณ ประมาณ ค.ศ. 40 จากนั้นเปลี่ยนแปลงรูปแบบจนกลายมาเป็น เครื่องดนตรีที่มี 4 สายเรียกว่า อู๊ด (oud) นำเข้ามาโดยชาวมัวร์ในยุคที่เข้ามาครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียน ในศตวรรษที่ 8 ส่วนในยุโรปมีเครื่องดนตรีที่เรียกว่า ลุต (lute) ของชาวสแกนดิเนเวียมี 6 สาย ในสมัย ค.ศ. 800 เป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมในกลุ่มชาว(ไวกิ้ง)

   ค.ศ. 1200 กีตาร์ 4 สาย มี 2 ประเภท คือ กีตาร่า มอ ริสกา หรือกีตาร์ของชาวมัวร์ มีลักษณะกลม ตัวคอกว้าง มีหลายรู กับกีตาร่า ลาติน่า ซึ่งรูปร่างคล้ายกีตาร์ในปัจจุบัน คือมีรูเดียวและคอแคบ ในศตวรรษที่ 16 เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ของชาวสเปน ที่เรียกว่าวิฮูเอล่า เป็นเครื่องดนตรีที่มีลักษณะใกล้เคียงกับกีตาร์ในปัจจุบัน มีความผสมผสานระหว่างเครื่องดนตรีอู๊ดของชาวอาหรับและลูตของยุโรปแต่ได้รับความนิยมในช่วงสั้นๆ พบเห็นจนถึงปี 1576

 เครื่องดนตรีชิ้นแรกที่มีรูปลักษณ์เหมือนกีตาร์ในปัจจุบัน เกิดในช่วงยุคปลายของสมัยกลางหรือยุคต้นสมัยเรอเนสซอง (500 กว่าปีที่แล้ว) เป็นช่วงที่มีการใช้เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายกันทั่วโลก ในยุคนั้นกีตาร์มีทั้งแบบ 4 และ 5 สาย สำหรับกีตาร์ที่มี 6 สาย ระบุว่ามีขึ้นในปี 1779 เป็นผลงานของนายแกตาโน วินาซเซีย (Gaetano Vinaccia) ในเมืองเนเปิล อิตาลี แต่ก็ถกเถียงกันว่าอาจเป็นของปลอมสำหรับตระกูลวินาซเซียมีชื่อเสียงในการผลิตแมนโดลินมาก่อน

   กีตาร์ไฟฟ้าตัวแรกเริ่มผลิตขึ้นในศตวรรษที่ 20 โดยจอร์จ โบแชมป์ (George Beauchamp) ได้รับสิทธิบัตรในปี 1936 และร่วมกับ ริกเค่นแบ็กเกอร์ (Rickenbacker) ตั้งบริษัท Electro String Instrument ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าในช่วงปลายปีทศวรรษที่ 1930 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1960 จอห์น เลนนอน สมาชิกวงเดอะบีทเทิลส์ใช้กีตาร์ยี่ห้อนี้ ส่งผลให้เครื่องดนตรียี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในกลุ่มนักดนตรีในยุคนั้น และในปัจจุบันบริษัทริกเค่นแบ็กเกอร์ เป็นบริษัทผลิตกีตาร์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา




ประเภทของกีต้าร์


1.Acoustic guitars






อะคูสติกกีต้าร์ในรูปแบบที่โดดเด่นหลายหมวดหมู่ย่อย ภายในกลุ่มกีตาร์อะคูสติก เช่นคลาสสิกและลาเมงโกกีตาร์สายเหล็กซึ่งรวมถึงกีต้าร์โฟล์ค, กีต้าร์สิบสองสาย , และกีตาร์โค้งด้านบน กลุ่มกีตาร์อะคูสติกยังรวมถึงกีต้าร์ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อเล่นย่านเสียงที่แตกต่างกันเช่นกีตาร์อะคูสติกเบสซึ่งมีการปรับแต่งที่คล้ายคลึงกับกีตาร์เบสไฟฟ้า





2.Renaissance and Baroque guitars





 เรเนซองส์และบาร็อคกีต้าร์ที่เป็นบรรพบุรุษของสมัยคลาสสิกและกีตาร์ลาเมงโกมีขนาดเล็กกว่ามากมีความละเอียดอ่อนในการสร้างและสร้างปริมาณน้อยลง สายจะถูกจับคู่เช่นเดียวกับกีตาร์ 12 สายสมัยใหม่แต่มีสายเพียงสี่หรือห้าสาย แทนที่จะใช้สายเดี่ยวหกสายตามปกติ พวกเขามักใช้เป็นเครื่องให้จังหวะในวงดนตรีมากกว่าเครื่องดนตรีเดี่ยวและมักจะเห็นได้จากบทบาทนั้นในการแสดงดนตรียุคแรกๆ( GasparSanz 's Instrucción deMúsica sobreGuitarra Españolaของ 1674 เรเนซองส์และกีต้าร์สไตล์บาร็อคนั้นมีความโดดเด่นได้อย่างง่ายดายเนื่องจากกีตาร์แบบเรอเนสซองส์นั้นดูเรียบง่ายและกีตาร์แบบบาร็อคนั้นหรูหรามากโดยมีการฝังสีงาช้างหรือไม้ไว้ทั่วทั้งคอและลำตัว



3.Classical guitars





        กีต้าร์คลาสสิกยังเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อคือกีต้าร์สเปนโดยปกติจะใช้สายไนลอน เล่นในท่านั่งและมีการ    ใช้ในการเล่นหลากหลายของรูปแบบดนตรีรวมทั้งเพลงคลาสสิกคอที่กว้างและแบนของกีตาร์คลาสสิกช่วยให้นักดนตรีเล่นสเกลอาร์เพกจิโอและคอร์ดบางรูปแบบ4ได้ง่ายขึ้นและมีการรบกวนของสายที่อยู่ติดกันน้อยกว่ากีตาร์สไตล์อื่นๆกีตาร์ฟลาเมงโกมีโครงสร้างคล้ายกันมากแต่เกี่ยวข้องกับโทนเสียงที่เร้าใจกว่าในโปรตุเกสเครื่องดนตรีชนิดเดียวกันนี้มักใช้กับสายเหล็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทของมันในดนตรีฟาโดกีต้าร์ที่เรียกว่าวิโอล่าหรือviolaoในบราซิลซึ่งมักใช้กับสายที่เจ็ดพิเศษโดยนักดนตรีchoroเพื่อให้เสียงเบสมากเป็นพิเศษในเม็กซิโกที่นิยมMariachiรวมถึงช่วงของกีต้าร์จากขนาดเล็กRequintoไป guitarrón,กีต้าร์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเชลโลในโคลอมเบียวงดนตรีแบบดั้งเดิมรวมถึงเครื่องดนตรีหลายชนิดด้วยเช่นกันตั้งแต่แบนโดลาขนาดเล็ก(บางครั้งเรียกว่าDeleuze-Guattariสำหรับใช้ในการเดินทางหรือในห้องหรือพื้นที่จำกัดไปจนถึงเครื่องดนตรีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยไปจนถึงกีตาร์คลาสสิกขนาเต็มRequinto ยังปรากฏในประเทศอื่นๆ ในละติน - อเมริกาในฐานะสมาชิกเสริมของตระกูลกีต้าร์ด้วยขนาดและสเกลที่เล็กลงทำให้สามารถฉายภาพได้มากขึ้นสำหรับการเล่นท่วงทำนองแบบเรียงเส้นเดี่ยว ขนาดสมัยใหม่ของเครื่องดนตรีคลาสสิกก่อตั้งขึ้นโดย Antonio de Torres



4.Flat-top guitars





 กีตาร์แบบด้านหน้าเรียบแบนก็กีตาร์โปร่งที่เราเล่นกันทั่วไปสายเหล็กมีลักษณะคล้ายกับกีตาร์คลาสสิกอย่างไรก็ตาม  ภายในขนาดที่แตกต่างกันของกีต้าร์สายเหล็กขนาดของตัวเครื่องมักจะ ใหญ่กว่ากีตาร์คลาสสิกอย่างมีนัยสำคัญและมีคอที่แคบกว่าเสริมแรงและการออกแบบโครงสร้างที่แข็งแรงกว่า X-bracing ที่แข็งแกร่งตามแบบฉบับของสายเหล็กได้รับการพัฒนาในปี 1840โดยช่างตัดไม้ชาวเยอรมัน - อเมริกันซึ่ง Christian Friedrich "CF" Martinเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคอกีตาร์ถูกเสริมเหล็กที่เรียกว่าtruss rod เพื่อความแข็งแรงทำให้กีตาร์สามารถทนต่อแรงดึงที่เพิ่มขึ้นของสายเหล็กได้เมื่อการผสมผสานที่โชคดีนี้เกิดขึ้นในต้นศตวรรษที่ 20 สายเหล็กให้โทนเสียงที่สว่างขึ้นและเสียงที่ดังขึ้นตามผู้เล่นหลายคน กีตาร์โปร่งใช้ในดนตรีหลายประเภทรวมถึงโฟล์คคันทรีบลูแกรสป๊อปแจ๊สและบลูส์ หลายรูปแบบที่เป็นไปได้จากประมาณคลาสสิกขนาดคือOO และ Parlor จะมีขนาดใหญ่ขึ้น และจัมโบ้คือใหญ่สุด  Ovationสร้างรูปแบบที่ทันสมัยด้วยการประกอบด้านหลัง / ด้านข้างแบบโค้งมนที่ขึ้นรูปจากวัสดุเทียม



5.Archtop guitars


         กีตาร์ Archtop เป็นเครื่องดนตรีประเภทสายเหล็กซึ่งด้านบนและด้านหลังจะมีความโค้งนูน แทนที่จะเป็นรูปทรงแบน คล้ายไวโอลิน Lloyd Loarแห่ง Gibson Mandolin-Guitar Mfg Co ได้แนะนำการออกแบบรูรูปตัว"F"ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากไวโอลินซึ่งตอนนี้มักจะเกี่ยวข้องกับกีตาร์แบบarchtopหลังจากออกแบบสไตล์พิณประเภทเดียวกัน กีต้าร์ archtop ทั่วไปมีลำตัวที่ใหญ่และลึกกลวงซึ่งมีรูปแบบเหมือนกับพิณหรือเครื่องดนตรีตระกูลไวโอลิน ปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีการติดตั้งปิคอัพดังนั้นจึงมีทั้งแบบอะคูสติกและไฟฟ้า กีต้าร์ F-holearchtop ถูกนำมาใช้โดยนักดนตรีแจ๊สและคันทรีและยังคงได้รับความนิยมเป็นพิเศษในดนตรีแจ๊สโดยปกติจะใช้สายแบบแบน



6.Electric guitars




               กีต้าร์ไฟฟ้าสร้างจากไม้เนื้อแข็งกึ่งกลวงหรือกลวงให้เสียงเพียงเล็กน้อยหากไม่ผ่านการขยาย   เสียงในทางตรงกันข้ามกับกีต้าร์อะคูสติกมาตรฐานกีต้าร์ไฟฟ้าแทนที่จะพึ่งพาแม่เหล็กไฟฟ้าหรือปิคอัพและบางครั้งใช้piezoelectricปิคอัพที่แปลงการสั่นสะเทือนของสายเหล็กเข้าไปในสัญญาณซึ่งไปยังเครื่องขยายเสียงผ่าน เสียงมักถูกปรับเปลี่ยนโดยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่นเอฟเฟกต์ หรือการบิดเบือนตามธรรมชาติของวาล์ว หรือปรีแอมป์ในเครื่องขยายเสียง ปิคอัพแม่เหล็กมีสองประเภทหลักคือขดลวดเดี่ยวและขดลวดคู่ (หรือฮัมบัคเกอร์ )ซึ่งแต่ละประเภทสามารถใช้งานได้แบบพาสซีฟหรือแอคทีฟ กีตาร์ไฟฟ้าถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในดนตรีแจ๊ส , บลูส์ , อาร์แอนด์บีและร็อกแอนด์โรล ครั้งแรกที่ปิคอัพประสบความสำเร็จสำหรับกีต้าร์ถูกคิดค้นโดยจอร์จ Beauchamp ในปี1931 Ro-Pat-In Rickenbacker  ผู้ผลิตรายอื่นโดยเฉพาะGibsonไม่นานก็เริ่มติดตั้งปิคอัพในรุ่นarchtop หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นที่นิยมโดยกิบสันในความร่วมมือกับเลสพอลและLeo Fender ของ Fender แอ็คชั่นเฟรตบอร์ดที่ต่ำกว่า สายที่เบากว่า  และการขยายสัญญาณไฟฟ้าช่วยให้กีตาร์ไฟฟ้าเป็นเทคนิคที่ไม่ค่อยได้ใช้กับกีต้าร์โปร่ง เหล่านี้รวมถึงการเคาะ  การเล่นLegato การดันสาย Bending สั่นสาย Vibratoและการจิ้ม Tapping Hammer-on และการใช้งานของแป้นเหยียบเอฟเฟกต์กีต้าร์ไฟฟ้าบางรุ่นมีปิ๊กอัพแบบเพียโซอิเล็กทริกซึ่งทำหน้าที่เป็นทรานสดิวเซอร์เพื่อให้เสียงที่ใกล้เคียงกับกีต้าร์โปร่งมากขึ้นด้วยการพลิกสวิตช์หรือลูกบิดแทนที่จะเปลี่ยนกีต้าร์ เสียงจากปิคอัพแบบเพียโซอิเล็กทริกและบางครั้งเรียกว่ากีต้าร์ไฮบริด


7.Bass guitars

            กีตาร์เบส (เรียกอีกอย่างว่า "เบสไฟฟ้า" หรือเรียกง่ายๆว่า "เบส") มีลักษณะและโครงสร้างคล้ายกับกีตาร์ไฟฟ้าแต่มีคอที่ยาวกว่าและมีความยาวและมีสี่ถึงหกสายเบสสี่สายโดยทั่วไปแล้วจะได้รับการปรับแต่งเช่นเดียวกับดับเบิลเบสซึ่งสอดคล้องกับเสียงหนึ่งคู่ที่ต่ำกว่าสี่สายต่ำสุดของกีตาร์ (E, A, Dและ G) กีต้าร์เบสเป็นเครื่องดนตรี transposingมันเป็น notated ในเบสโน๊ตคู่ที่สูงขึ้นกว่าเสียง(เป็นดับเบิลเบส) เช่นเดียวกับกีตาร์ไฟฟ้ากีตาร์เบสมีปิ๊กอัพและเสียบเข้ากับเครื่องขยายเสียงและลำโพงสำหรับการแสดงสด



วิธีการฝึกกีต้าร์เบื้องต้น


Guita

วันอังคารที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2566
0 Comments

History of the drum set

กลองชุดเป็นชื่อเรียกภาษาไทย มีความหมายถึง กลองหลายใบ ภาษาอังกฤษ ใช้ Team Drum หรือJazz Drum  ทั้งสองชื่อมีความหมายเหมือนกัน คือ การบรรเลงกลอง ครั้งละหลายใบ คำว่า “แจ๊ส (Jazz) หมายถึง ดนตรีแจ๊ส ซึ่งใช้กลองชุดร่วมบรรเลง จึงเรียกว่า Jazz Drum และยังมีชื่อเรียกกลองชุดเป็นภาษา  อังกฤษ ว่า Dance Drumming หมายถึงกลองชุดใช้บรรเลงจังหวะเต้นรำ

 กลองชุดประกอบด้วย กลองลักษณะต่าง ๆ หลายใบ และฉาบหลายอันมารวมกัน โดยใช้ผู้บรรเลงเพียงคนเดียว กลองชุดนี้ตามประวัติของดนตรีไม่ปรากฏว่าได้เข้าร่วมบรรเลงกับวงดนตรีดุริยางค์สากล ซึ่งเป็นวงดนตรีขนาดใหญ่ แต่ใช้บรรเลงร่วมกับวงดนตรีแจ๊ส และวงดนตรีที่มีเครื่องดนตรีน้อยชิ้นบรรเลงได้แก่ วงคอมโบ้ (Combo) วงสตริงคอมโบ้ (String Combo) ฯลฯ

 คนตีกลองพยายามปรับปรุงวิธีการบรรเลง โดยบรรเลงตามจังหวะที่ได้ยินแล้วนำมาปรับปรุงโดยการคิดค้นระบบใหม่ขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นระบบที่ได้ริเริ่มขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการบันทึกอัตราส่วนของจังหวะกลองในบทเพลง การบันทึก บทเพลงนั้นประกอบด้วย ทำนองเพลง การประสานเสียงและจังหวะ ทำให้ดนตรีมีการประสานเสียงกลมกลืน เพิ่มความไพเราะมากยิ่งขึ้น การริเริ่มพัฒนากลองชุดเป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นจากบทเพลงจังหวะวอลซ์ (Waltz)

ในช่วง ค.ศ. 1890 ถึง ค.ศ. 1910 นักตีกลองชุดเริ่มแยกออกจากแบบดั้งเดิม พยายามที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกที่เป็นอิสระของดนตรี แทนแบบเก่าที่มีแบบแผนบังคับ ให้ปฏิบัติตามการแสดงถึงความก้าวหน้าของนักตีกลองชุดคือ จะเติมความสนุกสนานลงในช่วงปลายประโยคเพลง

ปี ค.ศ. 1910 ถึง ค.ศ. 1920 จังหวะ แร็กไทม์ (Ragtime) ได้รับความนิยมมากเพราะเป็นจังหวะใหม่และน่าตื่นเต้น ลักษณะจังหวะแร็กไทม์ เป็นจังหวะเร็ว และรวบรัดชวนให้เต้นรำสนุกสนาน เป็นที่ชื่นชอบของชนชาวผิวดำ แต่นักตีกลองส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคนรุ่นเก่าปฏิเสธของใหม่ โดยตระหนักถึงรูปแบบจังหวะของดนตรีอิสระ และเรียกพวกนักตีกลองชุดจังหวะ แร็กไทม์ว่า “ของปลอม” เพราะบรรดานักตีกลองชุดรุ่นใหม่บรรเลงโดยการใช้ความจำและบรรเลงอย่างใช้อิสระโดยไม่ใช้โน้ตเพลง

ต้นศตวรรษที่ 20 ปี ค.ศ. 1920 ดนตรีแจ็สเริ่มได้รับความนิยมอย่างช้าๆ บรรดานักตีกลองชุดรุ่นเก่าที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงการบรรเลงจำต้องยอมพ่ายแพ้แก่นักตีกลองชุดรุ่นใหม่ที่มีชื่อเสียง จังหวะการบรรเลงค่อยๆเริ่มเปลี่ยนแปลงบ้างเล็กน้อย ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและรสนิยมของผู้ฟัง แต่อย่างไรก็ตาม นักตีกลองจะต้องทราบเกี่ยวกับการรัวการทำเสียงให้สั่นสะเทือน

ต่อมาในปี ค.ศ. 1928 ถึง ค.ศ. 1935 เป็นยุคของซิมโพนิค-แจ๊ส (Symphonic- jass) จังหวะของดนตรีมีทั้งจังหวะเร็วและช้า การบรรเลงจังหวะช้านั้น เริ่มมีการใช้แปรงลวด หรือภาษานักตีกลองเรียกว่า “แซ่”

 ปี ค.ศ. 1935 จังหวะแบบใหม่ที่มีชื่อว่า สวิง (Swing) เริ่มแพร่หลายช่วงตอนต้นของปี บทเพลงทุกเพลงต้องมีกลองชุดเข้าร่วมบรรเลงด้วยเสมอ นับเป็นครั้งแรกที่นักตีกลองชุดเข้าถึงจุดสุดยอด ซึ่งมีความสำคัญมาก จัดอยู่ในระดับสูงสุด เพราะไม่มีงานไหนจะสมบูรณ์แบบถ้าขาดกลองชุดและการบรรเลงเดี่ยว (Solo) ถึงขนาดนักตีกลองชุดที่เก่งๆมีชื่อเสียงนำชื่อของตนเองมาตั้งเป็นชื่อของวงดนตรี ในยุคนี้จึงถือว่าเป็นยุคของนักตีกลองชุดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง รสนิยมของบุคคลทั่วไปเริ่มเปลี่ยนแปลง ดนตรีแบบคอมโบ้ (Combo) เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย นักตีกลองเริ่มเบื่อหน่ายการบรรเลงจังหวะเก่าๆ มีการริเริ่มจังหวะใหม่ๆ โดยใช้กลองใหญ่ช่วยเน้นจังหวะ เรียกว่า บ๊อพ (Bop) หลังจากนั้นจึงเข้าสู่ยุคของการบรรเลงด้วยนิ้วมือ (Finger Drumming Techinque) คือการบรรเลงด้วยเทคนิคที่ใช้นิ้วมือปฏิบัติทั้งสองข้าง โดยใช้ไม้ตีกลองมือขวา ตีฉาบด้านขวามือ ซึ่งเป็นการรักษาจังหวะให้มั่นคงแน่นอน แล้วเปลี่ยนมือขวามาตีไฮแฮท (Hi Hat) อยู่ด้านซ้ายมืออย่างต่อเนื่อง เท้าขวาเหยียบที่กระเดื่องกลองใหญ่เน้นเสียงหนักแน่นมั่นคง มือซ้ายตีกลองเล็กและฉาบอย่างอิสระโดย การเน้นเสียง เช่น การตีเน้นเสียงที่ริมขอบกลอง หรือ การตีหนักๆที่กลางกลอง ผู้ที่มีเทคนิคการบรรเลงด้วยนิ้วมือได้ดี คือ โจ โจนส์ (JO JONES) โจนส์ใช้มือขวาตีที่หัวฉาบมือซ้ายตีขอบฉาบอย่างชำนาญและเชี่ยวชาญ

 


DRUM SET COMPONENTS





Snare drum



สแนร์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของกลองชุดรูปร่างลักษณะกลองเล็กที่ใช้บรรเลงร่วมกับกลองชุดมีลักษณะเหมือนกลองเล็กที่ใช้บรรเลงวงดุริยางค์วงใหญ่ทุกประการหรือเป็นกลองเล็กอย่างเดียวกันสามารถนำไปใช้บรรเลงร่วมกับ
   วงดนตรีโดยทั่วไปได้กลองเล็กเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุดในจำพวกเครื่องเคาะตีทั้งหลายเพราะการบรรเลงตาม          บทเพลงของกลองเล็กจะทำหน้าที่บรรเลงจังหวะที่ขัดกับกลองใหญ่


Bass drum


เบสดรัม มีรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับกลองใหญ่ที่ใช้บรรเลงในวงดุริยางค์สากลแต่ขนาด     แตกต่างกันคือ  ขนาดกลองใหญ่ของกลองชุดมีขนาดที่นิยมใช้ทั่วไป คือ ขนาด 14 x 20 นิ้ว หรือ  14 x 22


TOM



 กลองทอม  คือ กลองขนาดเล็กสองใบมีรูปร่างเหมือนกลองเล็ก แต่มีขนาดสูงกว่า ไม่ติดเส้นลวด กลองทอม ทั้งสองใบมีขนาดแตกต่างกัน ใบหนึ่งจะติดตั้งทางด้านซ้ายมือ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าอีกใบหนึ่ง ซึ่งติดตั้งด้านขวามือ  โดยทั่วไปนิยมใช้กลองทอม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 9 x 13 นิ้วและขนาด 14 x 14 นิ้ว ทั้งสองใบจะมีรูด้านข้างสำหรับใส่แกนโลหะเพื่อติดตั้งบนกลองใหญ่



Floor tom 



ฟลอร์ทอม  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่ง ว่า ทอมใหญ่” (Large Tom)  รูปร่างลักษณะเหมือนกับ กลองทอม ไม่ติดเส้นลวด ขนาดของฟลอร์ทอม สูงกว่ากลองทอม  มีขาติดตั้งกับตัวฟลอร์ทอม เวลาบรรเลงตั้งอยู่ด้านขวามือชิดกับกลองใหญ่ เสียงฟลอร์ทอมต่ำกว่าเสียงกลองทอม





Crash cymbol




 แฉ เป็นส่วนประกอบอีกชิ้นหนึ่งของกลองชุด  รูปร่างลักษณะเหมือนกับฉาบที่ใช้บรรเลงในวงดุริยางค์  โดยทั่วไปนิยมใช้ฉาบขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20-30 นิ้ว ตั้งไว้ด้านข้างขวามือ และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 16-18 นิ้ว ตั้งไว้ด้านข้างซ้ายมือ




HI - HAT



ไฮแฮท  คือ ฉาบสองใบเหมือนกับฉาบในวงดุริยางค์  แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยทั่วไปนิยมใช้ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง  14-15 นิ้ว  ฉาบทั้งสองใบนี้ไม่ใช้เชือกหนังร้อยสำหรับถือ  เพราะมีขาตั้งรองรับ ใบที่หนึ่งใส่ลงบนขาตั้งโดยให้ด้านนูนอยู่ด้านล่าง จะมีแผ่นโลหะและสักหลาดรองรับ  อีกใบหนึ่งใส่ลงบนขอตั้งโดยให้ด้านนูนอยู่ด้านบน มีที่ไขติดอยู่กับแกนของขาตั้ง 


วิธีการฝึกกลองชุดเบื้องต้น



DRUM SET

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566
0 Comments

- Copyright © Kaiyangsomtum - Blogger Templates - Powered by Blogger - Designed by Johanes Djogan -